Please use this identifier to cite or link to this item: https://rsuir-library.rsu.ac.th/handle/123456789/2252
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.authorปรียา อนุพงษ์องอาจ-
dc.date.accessioned2024-03-19T06:44:43Z-
dc.date.available2024-03-19T06:44:43Z-
dc.date.issued2552-
dc.identifier.urihttps://rsuir-library.rsu.ac.th/handle/123456789/2252-
dc.description.abstractในการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อออกแบบและพัฒนาชุดทดลองเรื่องการกำทอนของคลื่นในท่ออากาศ โดยอาศัยหลักการทางฟิสิกส์และทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ ผลการวิจัยได้ออกแบบและสร้างชุดทดลองเรื่องการกำทอนของคลื่นในท่ออากาศ โดยใช้ Function Generator เป็นเครื่องกำเนิดสัญญาณไฟฟ้า ความถี่ที่ใช้อยู่ในช่วงตั้งแต่ 600 – 1600 Hz ใช้คอนเดนเซอร์ไมโครโฟนเป็นอุปกรณ์ในการรับเสียง เสียงที่ได้รับจะผ่านวงจรปรับปรุงสัญญาณ และใช้เครื่องออสซิลโลสโคปเป็นส่วนแสดงผลของสัญญาณ โดยแสดงผลเป็นสัญญาณรูปคลื่น นอกจากนี้ยังได้ทำการศึกษาระดับความคิดเห็นของนักศึกษาเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อชุดทดลองเรื่องการกำทอนของคลื่นในท่ออากาศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาปฏิบัติการฟิสิกส์ 2 (PHY 224) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 จำนวน 115 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มแบบเจาะจง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ T-Test ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS พบว่า 1. ประสิทธิภาพของชุดทดลองเรื่องการกำทอนของคลื่นในท่ออากาศที่ออกแบบและพัฒนา เมื่อทำการทดสอบการทำงานของเครื่อง สามารถหาอัตราเร็วเสียงในอากาศจากชุดทดลองเปรียบเทียบกับอัตราเร็วเสียงในอากาศที่อุณหภูมิห้องพบว่า มีค่าเปอร์เซ็นต์ความแตกต่าง 1.08% และจากการทดสอบที่ความถี่ 600, 800, 1,000, 1,200, 1,400 และ 1,600 Hz พบว่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ในช่วงตั้งแต่ 0.070 – 0.237 2.ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของระดับความพึงพอใจต่อชุดทดลองเรื่องการกำทอนของคลื่นในท่ออากาศ มีค่าเท่ากับ 4.24 และ 0.719 แสดงว่า นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการใช้ชุดทดลองนี้ อยู่ในระดับพึงพอใจมาก 3.นักศึกษามีระดับความพึงพอใจต่อชุดทดลองเรื่องการกำทอนของคลื่นในท่ออากาศ ในข้อที่ได้รับค่าเฉลี่ยสูงสุด ในด้านลักษณะทางกายภาพได้แก่ อันดับที่ 1 คือ ชุดทดลองมีความเหมาะสมต่อการใช้งาน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.27 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.626 อันดับที่ 2 คือ ชิ้นส่วนของชุดทดลองสามารถหาอะไหล่ได้ง่าย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.24 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.854 อันดับที่ 3 คือ ชิ้นส่วนของชุดทดลองสามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนง่าย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.712 ในด้านความเหมาะสมต่อการนำไปใช้งาน ได้แก่ อันดับที่ 1 คือ ต่อกับเครื่องออสซิลโลสโคปได้อย่างง่ายและสะดวก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.646 อันดับที่ 2 คือ ผลของชุดทดลองนี้หาอัตราเร็วเสียงในอากาศได้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.655 อันดับที่ 3 คือ ชุดทดลองติดตั้งง่าย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.719en_US
dc.description.sponsorshipศูนย์สนับสนุนและพัฒนาการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยรังสิตen_US
dc.language.isootheren_US
dc.publisherศูนย์สนับสนุนและพัฒนาการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยรังสิตen_US
dc.subjectฟิสิกส์ -- เครื่องมือและอุปกรณ์ -- วิจัยen_US
dc.subjectสื่อการสอน -- วิจัยen_US
dc.subjectฟิสิกส์ -- การสอนด้วยสื่อen_US
dc.titleการพัฒนาชุดทดลองเรื่องการกำทอนของคลื่นในท่ออากาศen_US
dc.title.alternativeDevelopment of the experiment set for studying wave resonance in closed end tubeen_US
dc.typeOtheren_US
dc.description.other-abstractThe purposes of the study were to design and develop an experimenting kit to study wave resonance in closed end tube applying the principles of physics and electronics. The intervention of the research was the experimenting kit especially developed to study wave resonance in closed end tube using electric signal from generator. The range of frequency was 600 – 1600 Hz and the condenser microphone was used as an audio receiver. The sound signals would pass through signal conditioning circuits and when they came out, they were shown through an oscilloscope. Besides, students’ opinions towards the experimenting kit were also studied. The subjects of the study, selected by purposive sampling, were 115 engineering students who took the course Laboratory Physics2 (PHY224) in semester 1 of the academic year 2010. The obtained data were analyzed by SPSS statistical packages. The findings of the study were as follows: 1.The efficiency of the experimenting kit of wave resonance in closed end tube, when tested at room temperature, yielded 1.08% difference of speed as compared with the speed of sound in air. And when the kit was tested at frequencies of 600, 800, 1000, 1200, 1400 and 1600 Hz, it was found that the standard deviation was between 0.070 – 0.237. 2.The mean (4.24) and standard deviation (0.719) of students’ opinions towards the developed kit showed that students were very satisfied with the treatment. 3.As for the rank of the subjects’ satisfaction towards the experimenting kit in terms of its physical features, the highest was “appropriateness for practical use” receiving the mean scores of 4.27 (S.D. = 0.626). The second to highest was “availability of spare parts”, receiving the mean scores of 4.24 (S.D. = 0.854). And the third was “reparability and replaceability”, of which the means scores were 4.19 (S.D. = 0.712). In terms of practicality, the item with the highest mean scores was “easily connected with oscilloscope” (mean = 4.50; S.D. = 0.646). The second to highest was “ability to detect air speed of sound” (mean = 4.37; S.D. = 0.655). And the third was “easy installation”, of which the mean scores were 4.37 (S.D. = 0.719)en_US
Appears in Collections:Sci-Research

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
PREYA ANUPONGONGARCH.pdf4.74 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.